Thursday, December 8, 2011

ตอนที่ 6 ความพิถีพิถันทุกขั้นตอน รายละเอียดเล็กๆ อาจสร้างความแตกต่างมหาศาล

ตอนที่ 6 ความพิถีพิถันทุกขั้นตอน รายละเอียดเล็กๆ อาจสร้างความแตกต่างมหาศาล

ยก ตัวอย่างส้มเขียวหวานนะจ๊ะ เขาคัดลูกเท่าๆ กันเป๊ะ สีเหมือนๆ กัน เคลือบผิวซะมัน แถมติดสติกเกอร์ ใส่ลังอย่างสวย ขายลังละหลายร้อยบาท เป็นความพิถีพิถันทุกขั้นตอน ของขายได้ราคาดีเป็นที่นิยม

อย่างของ เราเอง เวลาไปเลือกสินค้า เคยเจอของบางอย่างชิ้นใหญ่ต้นทุนแพงกว่า กับของชนิดเดียวกันแต่เล็กกว่าต้นทุนถูกว่า ของเล็กที่เขาทำมาดันทำขลิบสีทอง ส่วนของใหญ่ไม่ขลิบทอง ไม่รู้เขานึกยังไง เราก็ไม่สนนะจ๊ะ เราซื้อทั้งของเล็กของใหญ่ แต่เวลาไปขาย เราตั้งราคาของเล็กแพงกว่าจ๊ะ ซื้อของใหญ่น้อยหน่อย ซื้อของเล็กเยอะหน่อย แล้วของเล็กก็ขายหมดเร็วกว่าของใหญ่ แม้จะแพงกว่า อย่างนี้คนผลิตย่อมนึกไม่ถึงเป็นแน่ เรื่องนี้แสดงว่าเราคนขายตาถึงกว่าผู้ผลิต

ของบางชนิด ผู้ผลิตทำสีมาให้เลือก 5-6 สี และ 4-5 ขนาด เราพบว่า การซื้อให้ครบสีและขนาดเป็นการกระทำที่โง่เขลามาก เพราะจะมีบางสีและบางขนาดที่ขายไม่ออกเสมอ บางครั้งถ้าเรารู้สึกชัวร์มาก จะซื้อแค่ 1-2 สีและ 1-2 ขนาดเท่านั้น ไม่เสียดายยอดขายหากว่าจะมีลูกค้ามาเลือกสีและขนาดที่เราไม่มี วิธีนี้พบว่าของมากขายจนหมด

หรือบางทีไม่ชัวร์ว่าสีไหนจะขายดี เราจะสั่งมาล็อตแรกน้อยมาก สีละชิ้นสองชิ้น ไซส์ละชิ้นสองชิ้น ขนาดว่าถ้าทั้งล็อตขายไม่ได้ก็ไม่รู้สึกเจ็บตัว ล็อตเล็กขนาดว่าพ่อค้ามองอย่างดูถูกและคิดราคาขายปลีกให้แบบไม่อยากมองหน้า เราก็ไม่สนอยู่แล้ว เพราะถ้าของนั้นขายไม่ดีคราวหน้าก็ไม่ต้องเจอกัน แต่ถ้าขายดีมันจะต้องเห็นหน้าเราบ่อยๆ และจะกลายเป็นฝ่ายต้องวิ่งออกมาต้อนรับเราเหมือนหมาเจอเจ้าของยังไงยังงั้น

พอ จับจุดได้ว่าอันไหนขายดีอันดับหนึ่งและสองรองลงมา ทีนี้ก็ไปสั่งล็อตใหญ่เอาเฉพาะสีและไซส์ที่ขายได้เท่านั้น ที่ขายออกช้าหรือขายได้น้อยเอาไว้รอออร์เดอร์ใหม่คราวหน้าหรือคราวต่อๆ ไป เราพบว่า เมื่อได้กลายมาเป็นลูกค้าประจำแล้ว ทีนี้เวลาไปที่ร้านไหนๆ เราชี้เอาของแบบละชิ้นสองชิ้นพ่อค้าก็จะขายให้ในราคาส่งทั้งหมด

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html

ตอนที่ 5 Packaging

ตอนที่ 5 Packaging

อย่างที่ทราบกันดีนะจ๊ะ ว่าสินค้าจะดูดีและน่าซื้อ ภาชนะ หีบห่อก็สำคัญมาก ต้องมีหัวทางศิลป์หน่อยนะจ๊ะ ที่จะออกแบบว่าสินค้าควรจะใส่อยู่ในอะไร ต้องศึกษาและเรียนรู้เพิ่มเติม ว่า packaging เชิงอุตสาหกรรมเขาไปถึงไหนแล้ว คงต้องลงทุนหน่อยนะจ๊ะ ถ้าอยากให้สินค้าของเราหน้าตาดี และขายได้ราคาดีๆ

เห็นเยอะเลยที่ พยายามใช้วิธี"ผูกโบว์" กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ครองแครงยันขนมเค๊ก แต่ถุงก็ยังเป็นถุงธรรมดา กล่องก็ทำซะสีน่ากลัวมากกว่าน่ากิน และมันเป็นของกินแท้ๆ ก็ยังใช้ลวดเย็บกระดาษหนีบอยู่แม้จะผูกโบว์แล้วก็ตาม มันทำให้ของไม่น่าซื้อวันยังค่ำ

เราลงทุนเลยนะจ๊ะ จ้างโรงงานพลาสติกฉีดภาชนะที่พอเหมาะกับชิ้นงานของเรา แล้วใส่ของลงในนั้น พร้อมด้านหลังพลาสติกเป็นกระดาษแข็งพิมพ์เคลือบยูวีอย่างดี ของพวกนี้ต้องสั่งทำกันทีเป็นหมื่นถึงหลายหมื่น คิดต้นทุนรวมๆ แล้วตกชุดละ 5-6 บาท ราคาสินค้าต้นทุนที่จะเอาใส่ลงไป บางทีชิ้นละ 10 บาท แต่เราเอามาวางขายได้แล้ว 60 บาท ขณะที่ถ้ามันถูกวางกองๆ ไว้ หรือเอาใส่ถุงก๊อปแก๊ปกลับบ้าน มันจะขายได้ในราคาไม่เกิน 30 บาท แต่จำเป็นต้องลงทุนไปก่อนสำหรับค่าหีบห่อประมาณ 3-5 หมื่น

ฉะนั้น ถ้าจะลงทุนอะไรไป ต้องชัวร์ว่าของนั้นขายออกได้จริง และเรามีสายป่านยาวพอ เพราะ package ที่จ้างทำมามันจะมากองที่บ้านหลายพันกล่อง ถ้าทำไม่กี่เดือนแล้วเจ๊ง หรือขายได้ไม่กี่ชิ้นก็จอดแล้ว กล่องที่จ้างทำมานอกจากกลุ้มใจที่เสียเงินไปหลายหมื่นแล้ว กลับต้องกลุ้มใจหาที่เก็บอีก เพราะจะทิ้งก็เสียดาย

แต่ก็มีวิธีที่ ถูกว่านะจ๊ะ และที่สามารถทำรายชิ้นได้ ไม่ต้องจ้างทำทีเดียวเยอะๆ แบบนี้ เช่น ฟิล์มหด ไปหาซื้อได้ตามร้านค้าส่งหีบห่อพลาสติก เลือกขนาดที่อยากได้ เอามาหุ้มสินค้า แล้วเอาไดร์เป่าผมมาเป่า พลาสติกก็จะหดตัวหุ้มสินค้าของเราให้มันดูดี กันฝุ่น กันน้ำทำให้ดูเป็นของมีราคาขึ้นมาทันที

นอกจากฟิล์มหดก็มีซองแบบรูด ซิปปิดได้ ซึ่งดูหรูกว่าถุงพลาสติกธรรมดามาก แต่ราคาแพงกว่าขึ้นมาเผลอๆ แค่ 1 บาท เอาให้ยิ่งหรูขึ้นไปก็ใช้ซองเคลือบอลูมิเนียม และอื่นๆ ลองเลือกเอานะจ๊ะ เพราะมันไม่ตายตัว แล้วแต่สินค้าว่าอะไรใส่ในอะไรแล้วถึงจะดูดี เราต้องมีหัวทางศิลปะด้วย หรือถามคนอื่นๆ เยอะๆ ว่าเอาอันนั้นใส่อันนี้แล้วมันดูดีหรือแย่ลง

ต้อง ขยันและทุ่มเท รวมถึงมีหัวทางศิลป์ด้วยนะจ๊ะ เพราะหีบห่อที่ดี ทำให้ขายของแพงขึ้นได้บางที 2-3 เท่าตัวจริงๆ รวมถึงเรื่องสีสรรค์ ถ้าให้สีกับหีบห่อเหมาะกับสินค้า จะทำให้มันดูแพงขึ้นมาทันที แต่ถ้าให้สีไม่เหมาะ ถึงกับทำให้ของนั้นขายไม่ได้เลย อันนี้ต้องดูกันเอง ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html

ตอนที่ 4 จัดเป็นเซ็ท

ตอนที่ 4 จัดเป็นเซ็ท

พูดถึงจัดเป็นเซ็ทเราคง นึกภาพออก ว่าถ้ามีหุ่นโชว์เสื้อก็อย่าโชว็แต่เสื้อ ใส่เสื้อกางเกง รองเท้า ต่างหู สร้อยคอให้มันด้วย อย่ามีโชว์อันเดียว แต่ก็อย่าเยอะไป สัก 3-4 เซ็ทก็พอ เห็นบางร้านขายเสื้อผ้าก็จัดเป็นเซ็ทนะจ๊ะ ซึ่งอาจจะขายดีหรือไม่ดีก็ได้ กรณีขายไม่ดีเพราะจัดเซ็ทแล้วดูไม่ดี ไม่ดึงดูดลูกค้า หนำซ้ำลูกค้าเห็นเซ็ทที่เราจัดแล้วกลับรู้สึกว่าร้านนี้จัดชุดไม่เป็น หรือจัดชุดแล้วลูกค้ากลับรู้สึกว่าเสื้อผ้าร้านนี้ไม่สวย ฉะนั้น การจัดเซ็ท ต้องเป็นคนมีหัวศิลป์ด้วย จัดแล้วทำให้มันสวยกระโดดออกมาให้ได้นะจ๊ะ อย่ากลายเป็นเปรอะ เลอะเทอะไปหมด

การจัดเป็นเซ็ททำได้กับของเกือบ ทุกอย่างนะจ๊ะ ต่อให้ร้านขายวัสดุก่อสร้างก็เถอะ ลูกค้าเดินเข้ามาขอซื้ออะไรก็อย่าแค่ขายของอย่างนั้นให้ ควรจะชวนคุยหรือถามความต้องการที่แท้จริง เพราะในชีวิตจริง มีสินค้าเยอะมาก ที่คนซื้อซื้อไปแล้วไม่ได้ใช้ เป็นเพราะซื้อผิดเสปค ผิดโอกาส ผิดเวลา ผิดไซส์ ฯลฯ และจะรู้สึกไม่ดีกับร้านที่ไปซื้อเข้าในสายเลือดทีเดียว แม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของร้านแม้แต่น้อย

ถ้าเราชวนคุยและรู้ความต้อง การของลูกค้า เราจะกลายเป็นผู้แนะนำที่ดี แถมยังชวนซื้อของอย่างอื่นเพิ่มทั้งที่ลูกค้าจำเป็นและไม่จำเป็นต้องใช้ บางทีมีโอกาสให้ลูกค้าเขยิบเกรดของสินค้าขึ้นมาอีก ทำให้เราได้กำไรสูงขึ้นและลูกค้าก็ชอบใจด้วย เราเคยออกจะบ่อย ถามลูกค้าแล้วจัดของให้ตามที่ลูกค้าต้องการ จัดไปจัดมา เช็คยอดเงินแล้วสองสามหมื่น ถ้ามีเศษเราก็ปัดลงให้เป็นตัวเลขกลมๆ ลูกค้ายิ่งปลื้มใหญ่

ขออีกนิด อย่างร้านถ่ายรูปเนี่ย เรายังไม่เคยทำนะ แต่ถ้าวันไหนมีทำเลเหมาะๆ กะจะทำมั่งเหมือนกัน เขารับถ่ายรูปใช่ไหม อะไรที่จะใส่ไปด้วยได้ล่ะ กรอบรูป ชุดให้ยืมถ่าย กล้องถ่ายรูป เราว่ามันเอาของมาแทรกได้อีกนะ อย่างของแต่บ้านงี้ ถ้าเป็นเรา เราจะวางของแต่งบ้านเก๋ๆ คู่กับกรอบรูปเท่ๆ วางให้ดูเป็นตัวอย่าง 2-3 ชุดแล้วเสนอขายลูกค้าเป็นเซ็ทไปเลย หรือลูกค้าผู้หญิง อย่างพวกหมวก กิ๊ป โบว์ เข็มเกล็ด หรือแม้แต่ชุดนางรำ ของประดับหัวประดับแขน ทำไมไม่วางขายมันด้วยล่ะ หรือแม้แต่ปรินเตอร์ กระดาษพิมพ์ก็ยังขายได้เลย มันมีอยุ่แล้วลูกค้าที่อยากปรินท์รูปเอง เรามีของพวกนี้วางขายด้วย เราจะยิ่งขายง่ายกว่าห้างไอทีด้วยซ็ำ เพราะเขาเห็นเราใช้งานอยู่ แม้แต่ระดับมืออาชีพยังใช้ ถ้าบังเอิญเขาอยากได้พอดี เขาซื้้อชัวร์อยู่แล้ว ไม่ต้องไปถามห้างไอทีว่ารุ่นไหนดี เพราะเขาต้องรู้สึกว่าร้านถ่ายรูปต้องใช้ของดีราคาเหมาะสมอยู่แล้ว

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html

ตอนที่ 3 เอาของถูกวางให้เปรียบเทียบ

ตอนที่ 3 เอาของถูกวางให้เปรียบเทียบ

สินค้า หลายชนิดบางทีมีหลายเกรด บางอย่างเห็นด้วยตา เช่น วัสดุ สีสรรค์ ความสวยงาม บางอย่างมองเผินๆ เหมือนกัน แตกต่างที่ฝีมือในการผลิต หรือไม่ก็ต้องใช้งานก่อนแล้วถึงรู้ว่ามันแตกต่างกัน

สินค้าราคาสูง ย่อมขายได้เม็ดเงินสูงกว่า แม้กำไรคิดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจเท่ากันหรือต่ำกว่า แต่ถ้าขายของราคา 300 บาท แล้วได้กำไร 200 บาท ย่อมไม่ดีเท่าขายของราคา 5 พันแล้วก็ได้กำไรสองพันห้า

ให้หาของเกรดต่ำมาวางประกบสินค้าที่เรา ตั้งใจจะขายให้ลูกค้าได้เลือก ถ้าบังเอิญลูกค้าเลือกซื้อของเกรดต่ำ ก็ถือว่าไม่เป็นไรดีกว่าอยู่เปล่าๆ ถ้าของนั้นไม่ใช่แพงหลักหมื่นหลักแสน ธรรมชาติของคนส่วนใหญ่จะเลือกของราคาสูง อย่างน้อยก็มีผลทางใจกับผู้ซื้อทันที

ถ้าไม่มีเกรดต่ำให้เลือกบ้าง เล็กน้อย ลูกค้าอาจเห็นว่าของเราราคาสูง เขาจะไปหาที่อื่นทันที และอาจตัดสินใจซื้อของราคาถูกเกรดต่ำจากร้านอื่น ทำให้เราเสียโอกาสทั้งขึ้นทั้งล่อง

นอกจากนี้ยังเป็นการหักล้างการ ต่อราคาได้ผลดีนัก ถ้าลูกค้าขอต่อราคาของเกรดสูง ให้เรายื่นของเกรดต่ำให้แทนเลย บอกว่าราคาที่ต่อได้ของคุณภาพเท่าที่เห็น ลูกค้าจะหันมาเลือกของราคาสูงแทน หรือไม่ก็ จากคิดจะต่อเป็นหลักร้อยหลักพัน อาจต่อเหลือแค่ 20-50 บาท

การเอาของถูกวางให้เปรียบเทียบ ยังมีข้อดีอีกในการคุยกับลูกค้า หากลูกค้าบอกว่า เคยเห็นจากที่อื่น ราคาถูกกว่าของเรา เราก็ defend ได้ทันที ว่าที่ถูกน่ะ คุณภาพอย่างนี้ต่างหาก ว่าแล้วก็ยื่นของเกรดต่ำให้ดู แล้วแจ้งให้เห็นข้อเสียของๆ เกรดต่ำเยอะๆ

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html

ตอนที่ 2 อย่าเลือกสินค้าชนิด แบบ ลาย ลักษณะที่ไปถึงไหนก็มีขายที่นั้น

ตอนที่ 2 อย่าเลือกสินค้าชนิด แบบ ลาย ลักษณะที่ไปถึงไหนก็มีขายที่นั้น

เพราะ ถ้าใครๆ ก็ขาย รับรองได้ ต้องมีพ่อค้าประเภทขายถูกไว้ก่อน จงหลีกหนีให้ไกลพ่อค้า หรือตลาดแบบนี้ หรือถ้าหนีไม่ได้ จึงต้องเลือกอย่างที่ย่านนั้นไม่มี บางคนอาจ
บอกว่า ยังงี้ก็ไม่ต้องขายอะไรแล้ว เพราะในโลกนี้จะมีอะไรอีกที่คนอื่นไม่ขาย ความหมายไมได้เป็นอย่างนั้น แต่หมายถึงให้เราหาอะไรที่แตกต่าง และเป็นจุดสนใจ

ยกตัวอย่างนะจ๊ะ ทั้งตลาดใครๆ ก็ขายเสื้อยืด กางเกงยีนส์ราคาถูก บางคนเลยคิดว่าฉันขายผ้าพันคอแล้วกัน อันนี้เรียกว่าขายของคนละประเภทเลย แต่กลายเป็นอยู่ไม่ได้ เพราะผ้าพันคอเป็นของมีช่วงเวลาขาย และคนอื่นพร้อมที่จะไปรับมาเพื่อขายแข่งได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าเราฉีกไปขายชุดราตรีเลยละจ๊ะ

โดยในร้านก็ยังมีเสื้อยืด กางเกงยืนส์ให้เลือกเหมือนกัน แต่พบว่าลูกค้าจะแวะดูร้านนี้มากกว่า เพราะมีของแปลกให้เข้ามาดู พอเข้ามาแล้วก็เห็นสินค้าอื่นใกล้ชิดขึ้น โอกาสขายจึงมากกว่า และเผลอๆ ได้ขายชุดราตรีที่สามารถบวกเพิ่มได้เยอะกว่า เพราะลูกค้าไม่มีร้านอื่นในละแวกนั้นให้เปรียบเทียบ

สินค้าที่ใน discount store หรือ convenient store มีขาย แบบเดียวกัน สีเดียวกัน ย่อมไม่มีวันตั้งราคาสูงได้ อย่าคิดค้าของพวกนี้เป็นอันขาด ยกเว้นคุณจ้างผลิต หรือผลิตเองแล้วใช้แบรนด์ตัวเอง

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html

วิธีหาสินค้าที่สามารถนำมาบวกกำไรเพิ่มได้ 2-3 เท่าตัวขึ้นไป

ตอนที่ 1 เลือกเฉพาะสินค้าที่คนส่วนใหญ่เดาราคาไม่ถูก

ให้ ลองฝึกดูนะจ๊ะ เวลาไปดูสินค้า ให้เดาก่อนว่ามันควรจะมีราคาเท่าไหร่ แล้วค่อยถามคนขาย ถ้ามีคนอื่นตามไปด้วยก็ให้ช่วยกันเดา ต่างคนต่างหนึ่ง ให้เราเดาราคาทั้งราคาส่งและราคาปลีก ถ้าคำตอบที่ได้ เราจะพึ่งคำตอบคนขายได้เฉพาะราคาส่งนะจ๊ะ ถ้าคำตอบ ราคาส่งต่ำกว่าที่เราคิดว่า แปลว่าสินค้านี้มีอนาคตดีนะจ๊ะ

ทีนี้ของ ซื้อส่ง ส่วนใหญ่ต้องต่อราคาอยู่แล้ว เพราะคนซื้อหน้าใหม่มา พ่อค้าแม่ค้าไม่รู้ว่าคนนี้จะกลับมาอีกไหม เขาต้องตั้งใจฟันอยู่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าเราจะซื้อไปขายต่อหรือเปล่า ให้ต่อราคาลงมาจนถึงจุดที่ต่อไม่ได้อีก แล้วเปรียบเทียบในใจว่า ที่เรากะว่ามันควรจะขายปลีกได้เท่าไหร่ มันมากพอที่จะทำให้เรายิ้มออกหรือเปล่า ถ้ามากพอก็ตัดสินใจซื้อ จงซื้อที่ปริมาณขั้นต่ำสุดที่เขาจะขายได้ในราคาส่งขั้นต้นเท่านั้น

เรา ไม่เคยคิดโลภ ถ้าพ่อค้าบอกว่าซื้ออีกโหลยิ่งถูกลง เพราะส่วนใหญ่เราจะเจ๊งจากของที่ถูกลงนี้ เพราะสินค้า 1 โหลที่ทำให้ถูกลงนั้น มักจะขายไม่ได้ เพราะเราไม่มีวันรู้ว่าสินค้าจะขายดีหรือไม่ และเมื่อไหร่จะขายหมด อย่าปล่อยให้ทุนจมเป็นอันขาด

เพราะถ้ามันขายดีจริง เรายังมีโอกาสกลับมาซื้อได้อีกเรื่อยๆ แต่ถ้าขายไม่ได้ คือต้องเก็บไว้บางทีเป็นปี แล้วก็ต้องเอามาเลาะแบบขาดทุน การมาซื้อเรื่อยๆ ทำให้พ่อค้าจำหน้าได้ เขาจะลดราคาให้ต่ำสุดที่จะลดได้ เมื่อถึงตอนนี้ ต่อให้ซื้อ 3-4 ชิ้น เขาก็จะลดให้ต่ำสุด (พุ่งเข้าหาเจ้าของ ให้เจ้าของจำหน้าให้ได้ อิอิ) เพราะถ้าเจ้าของลดให้เราครั้งนี้ ตรั้งหน้าหากเจ้าของไม่อยู่ เราก็ยังอ้างได้ว่าคราวก่อนลดให้ ซึ่งพนักงานมักจะยอมตาม

ทีนี้พอซื้อไปแล้ว ให้ไปเกณฑ์คนที่บ้านหรือลูกน้อง หรือคนสนิทให้มาช่วยกันเดา ว่าของชิ้นนี้ราคาปลีกเท่าไหร่ ถ้าส่วนใหญ่เดาผิด ก็จะเป็นการยืนยันได้ ว่าเราสามารถตั้งราคาสินค้านี้ตามอำเภอใจได้ โดยไม่ต้องไปสนราคาทุนแม้แต่น้อย ซึ่งถ้าหากส่วนใหญ่เดาผิดในทางที่ราคาที่สูง ก็ยิ่งดี แปลว่าเราตาถึง เลือกของดีๆ ในราคาไม่แพงเก่ง แต่ถ้าส่วนใหญ่เดาในราคาที่ถูกแสนถูก และยิ่งถูกมากเท่าไหร่ แปลว่าตาเราถั่วมากเท่านั้น คราวหน้าต้องฝึกใหม่ บ่อยๆ

credit http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B11395286/B11395286.html