Friday, August 26, 2011

samsung galaxy โดนห้ามขายใน เยอรมัน ข้อหาก้อปปี้ยี่ห้อผลไม้สีแดง!

ซัมซุงโดนห้ามขายเนื่องจาก มัน "คล้าย" ipad ยังกับแกะ ลดขนาดเหลือ 10.1 8.9 7.8 นิ้ว โดยความบังเอิญของทีมออกแบบ ไม่น่าเชื่อจริงๆ เลยโดนห้ามขายในประเทศเยอรมัน
ด้านล่างเป็นเนื้อหาข่าวที่ได้รับการอนุเคราะห์แปลโดย google translate ที่เลื่องลือ สนใจเนื้อหาแบบรู้เรื่อง เชิญค้นใน google อีกรอบเพื่อความสมบูรณ์

Samsung Galaxy Tab 10.1




เดือนก่อนหน้านี้ศาลเยอรมันสั่งที่ซัมซุงควรจะหยุดการขาย Galaxy แท็บแท็บเล็ต 10.1 ในขณะที่คดีความจากแอปเปิ้ลย้ายไปข้างหน้า เป็น ส่วนหนึ่งของคำสั่งเบื้องต้นที่ถูกยกขึ้นมาในภายหลังเพื่อชี้แจงว่าซัมซุง ถูกระงับเฉพาะจากการขายแท็บเล็ตในเยอรมนีไม่ได้อยู่ในทั้งหมดของสหภาพยุโรป แต่ซัมซุงได้ยื่นอุทธรณ์คำตัดสิน ... และหายไป

วันนี้ศาลมีปกครองที่คำสั่งเบื้องต้นควรจะอยู่ในสถานที่ นั่นหมายความว่าซัมซุงจะไม่สามารถที่จะขายแท็บเล็ตอย่างน้อยจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งต่อไปเมื่อ 9 กันยายน

นี้ ไม่ได้หมายความว่าแอปเปิ้ลที่มีการพิสูจน์กรณีของซัมซุงที่คัดลอกการออกแบบ ของที่ iPad 2 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซัมซุงได้ไม่เชื่อศาลเพื่อคว่ำคำสั่งเบื้องต้น ในคำอื่น ๆ เรามีความคิดว่าการปกครองของวันนี้เสนอเรียงลำดับใด ๆ ของการทำนายเกี่ยวกับวิธีการในกรณีที่ในที่สุดจะไม่มีการเปิดออก

ใน ข่าวที่เกี่ยวข้อง, แอปเปิ้ลได้รับรางวัลของสหภาพยุโรปทั้งคำสั่งเบื้องต้นเมื่อวานนี้ว่าอาจจะ ห้ามจากการขายของซัมซุง Galaxy S, Galaxy S II, และมาร์ทโฟนเอสในที่สุดของยุโรป

สำหรับ ส่วนของซัมซุงตอบสนองต่อการที่ศาลที่พบได้เฉพาะที่ซัมซุงละเมิดในหนึ่งใน 10 เรียกร้องทรัพย์สินทางปัญญาและก็ทำตามขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถดำเนิน การต่อการขายโทรศัพท์มือถือทั่วยุโรป นอก จากนี้ซัมซุง contends ที่ปกครองเพียง แต่หมายถึงการแบ่งเนเธอร์แลนด์ของมันคือห้ามจากการขายโทรศัพท์มือถือทั่ว ยุโรป -- แต่ปกครองไม่อาจห้าม บริษัท แม่ที่ได้จากการขายโทรศัพท์มือถือ ที่ จะคล้ายกับศาลเยอรมันซึ่งระบุว่าซัมซุงเยอรมนีไม่สามารถกระจายเม็ดแท็บ กาแล็กซี่ในเยอรมนี แต่ที่ศาลได้มีเขตอำนาจเหนือสิ่งที่มีการกระจายเม็ดโดยหน่วยงานอื่น ๆ ของ บริษัท เกาหลีที่ไม่มี

Wednesday, August 24, 2011

OMG! Steve Jobs ลาออกแล้ว สาวก apple ทำไงดี รุ่นหน้าจะดีไซน์กระชากใจแบบเดิมหรือไม่!

OMG! Steve Jobs ลาออกแล้ว สาวก apple ทำไงดี รุ่นหน้าจะดีไซน์กระชากใจแบบเดิมหรือไม่!

กำลังเล็ง samsung galaxy tab ไว้พอดี แต่ การลาออกไม่ได้ผลกระทบอะไรกับการเลือกเท่าไร


[เอ.อาร์.ไอ.พี, www.arip.co.th] รายงาน ข่าวล่าสุด สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ในวัย 55 ปีได้ลาออกจากตำแหน่งซีอีโอของแอปเปิ้ล (Apple) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่เขาได้ลาพักรักษาตัวด้วยอาการป่วยโรคมะเร็งตับอ่อนตั้งแต่วันที่ 17 เดือนมกราคม 2011 ที่ผ่านมา โดยในแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว Apple ระบุว่า ทิม คุ้ก (Tim Cook) จะเข้ามาดำรงตำแหน่งเป็น CEO แทนจอบส์

ใน จดหมายลาออกของจอบส์กล่าวว่า "ผมมักจะบอกกับทุกท่านอยู่เสมอว่า หากวันใดที่ผมรู้สึกว่า ไม่สามารถรับผิดชอบต่อความคาดหวังในฐานะซีอีโอของแอปเปิ้ลได้อีกต่อไป ผมจะเป็นคนแรกที่บอกให้คุณทราบ น่าเสียดายที่วันนั้นได้มาถึงแล้ว..." เขายังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า "แม้ผมจะลาออกจากการเป็นซีอีโอของแอปเปิ้ลแล้ว แต่ผมก็ยังอยากที่จะช่วยผลักดันบริษัทต่อไป หากคณะกรรมการบริษัทเห็นว่าเหมาะสม ในฐานะประธานของบอร์ด ผู้อำนวยการ และพนักงานคนหนึ่งของแอปเปิ้ล สำหรับผู้ที่จะสืบตำแหน่งต่อไป ผมแนะนำว่า ต้องเป็นผู้ที่จะดำเนินการตามแผนของบริษัทได้ และคนๆ นั้นคือ Tim Cook ที่สมควรจะเป็นซีอีโอของ Apple คนต่อไป"

เนื้อ ความในจดหมายของจอบส์ยังแสดงถึงความมั่นใจ และเชื่อว่า อนาคตของ Apple จะยังคงสดใสด และสามารถรักความเป็นผุ้นำนวตกรรมได้ต่อไป โดยเขาจะคอยเฝ้าดู และช่วยเหลือ ตลอดจนผลักดันให้ความสำเร็จนั้นๆ เกิดขึ้นภายใต้บทบาทใหม่ที่ได้รับผิดชอบ "ผมได้มีเพื่อนที่ดีทีสุดในชีวิตที่แอปเปิ้ล และผมขอขอบคุณทุกคนสำหรับการที่ได้ทำงานเคียงข้างพวกคุณตลอดระยะเวลาหลายปี ที่ผานมา...สตีฟ" การก้าวลงจากตำแหน่งของจอบส์จะมีผลต่ออนาคตของแอปเปิ้ล หรือไม่? และภายใต้การนำของซีอีโออย่าง Tim Cook จะยังคงรักษาตำแหน่งครองใจเหล่าสาวกของ Apple ได้แค่ไหน? iPhone 5 และ iPad 3 จะยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคได้อย่างที่ Jobs ทำ หรือไม่? เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ติดตามรายงานความเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆ เหล่านีได้จากเว็บไซต์ arip ของเราได้ทุกวันนะครับ :D


Tuesday, August 23, 2011

ร่วมกัน ลด ละ เลิก hate speech เพื่อประเทศไทยกันเถอะ

สังคมไทย ใน fb ช่วงหลังการเลือกตั้ง ก็ยังคงเหมือนเดิม มี hate speech ปนกับ free speech

ที่ตลกที่สุดคือ การพูดประชด ประชัน ฝ่ายตรงข้าม แล้วบอกว่าเป็นเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น

ร่วมกัน ลด ละ เลิก hate speech เพื่อประเทศไทยกันเถอะ

อะไรเป็นพรมแดนระหว่าง free speech กับ hate speech ?

ดร. โสรัจจ์ กล่าวว่า "เสรีภาพในการพูดแสดงความคิดเห็น หรือ ′free speech′ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตย" การประกันเสรีภาพดังกล่าวมีประโยชน์ คือเป็นการเปิดโอกาสให้แนวคิดต่างๆ "เกิดขึ้นและไหลเวียนอย่างเสรี" ส่วนในเรื่อง hate speech นั้น ดร. โสรัจจ์ได้อ้างคำนิยามที่ว่า hate speech คือ "การสื่อสารไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆก็ตาม ที่เป็นการดูถูกกลุ่มคนหรือกลุ่มบุคคลใดๆ บนพื้นฐานของลักษณะเฉพาะของกลุ่มคนหรือบุคคลนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง สีผิว เพศ ชนชาติ ศาสนา หรือลักษณะเฉพาะอื่นๆ" และ hate speech นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มากในโลกตะวันตก

"ในแต่ละสังคมนั้นมีhate speechที่ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นในโลกตะวันตกที่มีคำดูถูกผู้หญิงเอเชีย หรือการพูดว่า ′ทุกคนที่เลือกพรรคก. เป็นคนโง่ ไม่จงรักภักดี′ ในบ้านเรา"


ดร.โสรัจจ์กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อมี free speech ก็ย่อมมีผู้คนที่ใช้เสรีภาพนี้สร้าง hate speech ขึ้นมา ดังนั้น "อะไรเป็นพรมแดนระหว่าง hate speech กับ free speech?" "เราควรออกกฏบังคับ hate speech หรือไม่?" ดร.โสรัจจ์ตั้งคำถามชวนคิดดังกล่าว

"อะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยจะตายไปเองโดย ธรรมชาติ การไปควบคุม โดยเฉพาะการไปมีกฏหมายลงโทษอาจก่อให้เกิดกระแสโต้กลับหรือก่อให้เกิดการท้า ทายกฏหมายนั้น ซึ่งทำให้วัตถุประสงค์ในการมีกฏหมายนั้นๆเป็นไปในทางตรงกันข้าม"

ถัดมา ดร.พิรงรอง อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ได้กล่าวถึงบทบาทในเรื่อง free speech และ hate speechของสื่อว่า "นิวมีเดีย" หรือ "สื่อใหม่" ไม่ได้หมายถึงเพียงสื่อออนไลน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงเคเบิลทีวี และวิทยุชุมชนด้วย และกล่าวถึงกฏหมายสากลที่ให้ความคุ้มครอง free speech ว่ามีหลายกฏหมาย เช่น "ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ19"

ดร.พิรงรอง กล่าวว่า hate speech และ hate crime นั้นมีความสัมพันธ์กัน เช่น hate speech ของฮิตเลอร์ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว hate speech ของกลุ่ม Klu Klux Klan ได้ปลุกปั่นให้ทำให้คนผิวดำเป็นจำนวนมากถูกฆ่าตาย


นอกจากนี้ ดร.พิรงรอง ยังได้กล่าวถึงบทบาทของสื่อใหม่อย่างอินเตอร์เน็ตว่า อินเตอร์เน็ตเป็นพื้นที่ใหม่ที่ทำให้การเผยแพร่ hate speech เป็นไปอย่างง่ายดาย การเป็นนิรนามบนอินเตอร์เน็ตเปิดช่องให้ผู้คนสามารถปิดบังตัวตนในการแพร่ กระจาย hate speech ซึ่งจะทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ พร้อมทั้งยังยกตัวอย่างกฏหมายควบ คุม hate speech ของต่างประเทศ เช่นในแคนาดาที่กำหนดให้ hate speech เป็นสิ่งผิดกฏหมาย รวมทั้งในเยอรมันและออสเตรียที่ห้ามเผยแพร่ hate speech บางประเภทโดยสิ้นเชิง


Sunday, August 21, 2011

เมื่อเพื่อนมาขอยืมรถไป

เมื่อเพื่อนมาขอยืมรถไป

http://youtu.be/nP2Z9ftZdms




Tuesday, August 16, 2011

ฟังหูไว้หู เตรียมป้องกันไว้ก็ดีที่สุด

ครดิต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=732128 โดยคุณหมูสนาม เขียนเมื่อเดือน ก.ค. 54

ปัญหาที่แก้ยากที่สุดในระบบเศรษฐกิจคือปัญหาเงินเฟ้อครับ

เพราะวงจรของเงินเฟ้อจะเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

เงินเฟ้อจะกระทบกับกำลังซื้อของคนทุกคนในระบบเศรษฐกิจคือเงินเท่าเดิมจะซื้อสินค้าได้น้อยลงเพราะสินค้าแพงขึ้น

และคนที่ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษคือคนที่มีรายได้คงที่ เช่นข้าราชการที่เกษียณ

ผู้มีรายได้ประจำและไม่สามารถปรับเพิ่มรายได้เพิ่มได้อีก เช่นคนเออรี่รีไทร์ ผู้สูงอายุที่ได้เบี้ยยังชีพ เป็นต้น

แม้แต่ผู้ที่มีเงินฝากก็หนีผลกระทบจากเงินเฟ้อไม่พ้น เพราะความสามารถในการแลกเปลี่ยนของเงินที่มีอยู่เดิมจะลดลง

หรือพูดให้ฟังง่ายๆ เมื่อของแพงขึ้นก็ต้องกระทบกับเงินที่ฝากธนาคารไว้จะมีค่าลดลง

ในทางทฤษฎีเงินเฟ้อมีที่มา 2 ทางใหญ่ๆคือ

1. ต้นทุนดัน (Cost Push Inflation)

2. ความต้องการดึง (Demand Pull Inflation)

และทั้งสองทางที่กล่าวมาก็ล้วนแต่มีรากมาจากการมีการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจมากเกินไป

และเมื่อทุกคนรู้หรือคาดว่าจะมีการเติมเงินครั้งใหญ่ให้ระบบเศรษฐกิจ ธรรมชาติจะสร้างเงินเฟ้อไปดักรออยู่ข้างหน้าเสมอ

ต้อง เข้าใจก่อนนะครับว่าการที่สินค้ามีราคาแพงเพราะความขาดแคลนชั่วคราวตามฤดูกาลมักไม่ก่อปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาว

แค่เป็นเงินเฟ้อในระยะสั้นๆ เมื่อมีผลผลิตออกมาสู่ตลาดมากๆราคามักจะปรับตัวลดลงเองโดยอัตโนมัติ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าประเภทอาหาร เช่นน้ำมันปาล์ม ไข่ไก่ ราคาหมู ไก่ ผักต่างๆ

แม้สินค้าพวกนี้จะมีราคาลดลงตามปริมาณสินค้าในตลาดแต่ความรู้สึกของผู้บริโภคมักจะติดภาพราคาแพงนานกว่าความเป็นจริงเสมอ

แต่เงินเฟ้อที่จะมาเยือนประเทศไทยในระยะเวลาไม่นานนับจากนี้คือ เงินเฟ้อที่เกิดจาก ต้นทุนดันครับ

ดันทั้งจากภายนอกประเทศคือต้นทุนราคาน้ำมัน กับดันจากภายในประเทศคือต้นทุนค่าจ้างแรงงาน

เงินเฟ้อประเภทนี้จะเป็นเงินเฟ้อค่อนข้างถาวรและส่งผลกระทบยาวนานมากจนเรา คาดไม่ถึงเหมือนกัน

การแก้ปัญหาเงินเฟ้อตามฤดูกาลด้วยการเพิ่มค่าแรงที่เป็นต้นทุนสำคัญของสินค้า

ที่ผลิตในประเทศไทยประเภท อุตสาหกรรมการเกษตร อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า บริการ

คือการเติมเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจโดยไม่คำนึงถึงผลิตภาพของแรงงานที่จะ ปรับตัวตามให้ทัน

ทางออกสุดท้ายก็ต้องผลักภาระไปสู่ผู้บริโภค คือการปรับราคาสินค้า

ถ้าปรับไม่ได้เพราะมีคู่แข่งอื่นๆจากต่างประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า ก็จำเป็นต้องย้ายฐานการผลิต

หรือไม่ก็ต้องเลิกกิจการไปในที่สุด การปรับค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 300 บาท

จึงเป็นตัวกระตุ้นให้สินค้าแพงขึ้นไปเรื่อยๆครับ เมื่อราคาสินค้าที่แพงขึ้น ก็จะไปกดดันให้ต้องเพิ่มค่าแรง

การเพิ่มค่าแรงก็จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น เมื่อต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นสินค้าก็แพงขึ้นอีก

เข้าทางวงจรอุบาทของเงินเฟ้อไม่รู้จบ

( วิธีการปรับค่าแรง ที่ไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อ คือการปรับเพิ่มผลิตภาพของแรงงานครับ

ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆในวงการก่อสร้าง คือพัฒนาฝีมือแรงงานขึ้นมาจากกรรมกรแบกหามธรรมดา

ไป เป็นช่างฝีมือ เช่นช่างไม้ ช่างเชื่อม ช่างปูน ช่างปูกระเบื้อง เป็นต้น )

ในระบบการผลิตภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มที่ใช้ทุนมาก(capital intensive)

เช่นอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า อิเลคโทรนิคส์ อุตสาหกรรมประกอบยานยนต์ ปิโตรเคมี

อุตสาหกรรมประเภทนี้ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม

ประเภท labor intensive (ใช้แรงงานคนมาก) ให้นึกถึงอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้า ทำรองเท้า กระเป๋า

เครื่องหนัง อาหารกระป๋อง กุ้งแช่แข็ง อาหารทะเลแช่แข็ง ทำเซรามิก เป่าแก้ว

อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการผลิตอาหารสดทุกชนิด อุตสาหกรรมบริการทุกชนิด

สังเกตนะครับว่าการปรับค่าแรงในประเทศที่มีอุตสาหกรรมหลักเป็น Capital Intensive มากๆ

เช่นสิงคโปร์ หรือไต้หวัน มักไม่ส่งผลกระทบกับปัญหาเงินเฟ้อ เพราะแรงงานเป็นต้นทุนที่น้อยมาก

เมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่ผลิตออกขาย ต่างกับประเทศไทยที่แรงงานการตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกเป็นต้นทุนที่สำคัญ

ในแง่ของผู้ประกอบการมีสองวิธีง่ายๆที่ใช้รับมือกับภาวะต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นคือ

1. ผลักภาระต่อให้กับผู้บริโภค หรือ

2. พยายามลดผลกระทบด้วยการเพิ่มผลิตภาพการผลิต( Productivity)

วิธีเพิ่มค่าแรงโดยไม่เพิ่มปัญญาเงินเฟ้อคือ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตครับ ในกรณีที่เป็น labor intensive

1. ลดจำนวนคนลงโดยยังได้ผลงานเท่าเดิม

2. หรือจำนวนคนเท่าเดิม แต่ได้ผลงานเพิ่มขึ้น

3. หรือจำนวนคนเท่าเดิม ได้ผลงานเท่าเดิม ใช้วัสดุหรือวัตถุดิบน้อยลง

4. หรือจำนวนคนเท่าเดิม วัตถุดิบเท่าเดิม ได้ผลงานมากขึ้น

ถ้า ผู้ประกอบการทำข้อใดข้อหนึ่งในสี่ข้อที่ยกมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับราคาคาสินค้าเพิ่มขึ้น

และที่สำคัญทั้งสี่ข้อต้องอยู่บน ฐานของคุณภาพที่เท่าเดิมหรือดีขึ้น

แต่จากประสบการณ์การทำงานอุตสาหกรรมของผม การเพิ่ม Productivity ในกรณีที่เป็น labor intensive เป็น เรื่องยากมาก

แต่ผู้ประกอบการทุกคนต่างก็ทราบดี ว่าแม้จะยากแต่ก็จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

เพราะ ถ้าทำไม่สำเร็จก็มักต้องเลิกกิจการ หรือต้องย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า

เพราะแข่งขันไม่ได้ในสภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ

การปรับค่าแรงขั้นต่ำจาก 215 บาทเป็น 300 บาท ถ้าทำได้จริงในเร็วๆนี้(ภายในหกเดือนเหมือนคำหาเสียง)

เท่ากับประเทศไทยจะมีการยกระดับค่าแรงขั้นต่ำครั้งใหญ่ที่สุด โดยเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 40 %

ในแรงงานที่ไร้ฝีมือ และสำหรับแรงงานที่จบปริญญาตรี ที่ปรับฐานเงินเดือนแรกเข้าจากประมาณ 9000 บาท

เป็น 15000 บาทต่อเดือน เป็นการปรับฐานเงินเดือนรวดเดียว ประมาณ 67 %

ต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการปรับฐานที่จะเกิดขึ้นไม่เกินหกเดือนข้างหน้า

ตามนโยบายรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ชนะการเลือกตั้ง จะไม่ใช่การปรับเฉพาะ300บาทตามที่เป็นข่าว

แต่จะต้องตามมาด้วยการปรับฐานค่าจ้างของคนในประเทศทั้งหมด

ที่รวมกันอยู่ในระบบประกันสังคมประมาณ 9 ล้านคน เป็นกำลังพลภาครัฐ

ที่รวมข้าราชการ ลูกจ้าประจำ ลูกจ้างชั่วคราว พนักงานราชการ พนักงานจ้าง

อีกประมาณ 2 ล้านคน และพนักงานรัฐวิสาหกิจ อีก 2.7 แสนคน รวมทั้งประเทศประมาณ 11.3 ล้านคน

การเติมเงินเข้าระบบเศรษฐกิจในรูปค่าแรงเฉลี่ย 40% ทั่วประเทศ

เปรียบเหมือนแผ่นดินไหวที่สร้างคลื่นสึนามิเงินเฟ้อจากระบบค่าจ้างแรงงานของประเทศไทยเอง !!!

สึนามิมาทีไร มักจะมีคนเจ็บคนตายจำนวนมาก ผมบอกไม่ได้หรอกว่าจะตายเท่าไร

และเรามักคาดเดาความรุนแรงของสึนามิผิดพลาดเสมอ

เมื่อคาดเดาผิดการเตรียมตัวป้องกันภัยหรือการอพยพหนีภัยก็มักจะผิดพลาดตามไปด้วย

ขอให้ทุกท่านโชคดี มีเวลาเตรียมตัวรับมือไม่เกินหกเดือนครับ(ถ้าทำจริง)

หมายเหตุ การเติมเงินครั้งนี้ผมยังไม่นับถึงโครงการอภิมหาโปรเจค 10 ล้านล้าน

โดยการถมทะเลบางขุนเทียนออกไปอีก 10 กม.ครับ

บ้านหลังแรกที่เป็นของพ้ม

สิ้นเดือนนี้ หวังว่าจะได้ย้ายเข้าบ้าน (ของตัวเอง) ซะที ผ่อนๆๆๆ ไปอีก กี่ปีว้าาา แต่งบ้านอีก 2-3 ปี ขยันๆหาเงินคงจบ เนาะ

เพี้ยงๆๆๆ